แบตเตอรี่
แบตเตอรี่(Battery)
1.หน้าที่ของแบตเตอรี่ 
2.โครงสร้างของแบตเตอรี่ 
3.การประจุไฟแบตเตอรี่
1.การประจุทีละน้อย  (Trickle  Recharge)  
  
        ถ้ากระแสในวงจรถูกรักษาไว้ที่อัตราเท่ากับ  C/10  (10%  ของความจุ)  แล้ว  เซลที่หมดประจุอย่างสมบูรณ์สามารถจะประจุได้ภายใน  10  ชั่วโมง  แต่ความเป็นจริงจะใช้เวลามากกว่า  10  ชั่วโมง  การประจุทีละน้อยด้วยอัตราขนาดนี้สามารถประจุทิ้งไว้ค้างคืนได้  ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของการประจุเซลด้วยอัตราขนาดนี้คือ  ถึงแม้ว่าเซลจะถูกประจุเต็มแล้วก็ตาม  ก็ไม่จำเป็นต้องนำเซลออก  เนื่องจากถ้าเราประจุต่อไปก็จะไม่ทำความเสียหายให้แก่เซล  เนื่องจากก๊าซออกซิเจนที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่ขั้วบวกจะรวมตัวกับขั้วลบ  การประจุเซลโดยไม่มีข้อจำกัด  ซึ่งจะไม่ทำให้ความเสียหายแก่เซล  ยกตัวอย่างเช่น  เซลมีขนาดความจุ  500  มิลลิแอมป์ – ชั่วโมง  ถ้าประจุด้วยอัตรา  C/10   ก็เท่ากับ  10%  ของความจุ  คือ  50  มิลลิ-แอมป์     
4.การตรวจวัดความถ่วงจำเพาะของน้ำยา  
5.การบำรุงรักษาแบตเตอรี่
![]()  | 
หมั่นตรวจดูระดับน้ำกลั่น อย่าให้ต่ำกว่าระดับ LOWER LEVEL เพราะอายุการใช้งานจะสั้น (ห้ามเติมน้ำกรดโดยเด็ดขาด) | 
| ขันขั้วแบตเตอรี่ให้แน่น เพื่อกระแสไฟเดินได้ดี สะดวก | |
![]()  | 
ทำความสะอาดที่ติดตามขั้วแบตเตอรี่และพื้นผิว อันเกิดจากการใช้งาน | 
![]()  | 
ตรวจสภาพภายนอก ให้ยึดแน่นบนแท่นวาง | 
![]()  | 
หมั่นตรวจดูระดับน้ำกลั่น อย่าให้ต่ำกว่าระดับ LOWER LEVEL เพราะอายุการใช้งานจะสั้น (ห้ามเติมน้ำกรดโดยเด็ดขาด) | 
| ขันขั้วแบตเตอรี่ให้แน่น เพื่อกระแสไฟเดินได้ดี สะดวก | |
![]()  | 
ทำความสะอาดที่ติดตามขั้วแบตเตอรี่และพื้นผิว อันเกิดจากการใช้งาน | 
![]()  | 
ตรวจสภาพภายนอก ให้ยึดแน่นบนแท่นวาง | 
2.การประจุอย่างเร็ว  (Fast  Recharge) 
  
        เซลแบบนิแคดนี้สามารถจุประจุด้วยอัตราที่สูงขึ้นกว่าได้  เช่นด้วยอัตรา  C/3  (33%  ของความจุ)  ถึง  C/5  (20%  ของความจุ)  โดยจะต้องเตรียมการตัดการประจุ  เมื่อเซลได้รับการประจุจนเต็มที่แล้ว  ซึ่งสามารถทำได้อย่างอัตโนมัติ  โดยใช้วงจรตรวจจับแรงดัน  ซึ่งจะตัดกระแสที่ใช้ในการประจุออก  เมื่อแรงดันของเซลเพิ่มขึ้นเกินกว่าค่าปัจจุบัน  รูปที่  10  แสดงถึงการแปรเปลี่ยนของแรงดันของเซลกับอัตราการประจุเท่ากับ  C/4  (25%  ของความจุ)  จะเห็นได้ชัดว่าวิธีการนี้สามารถใช้ได้เฉพาะ  ถ้าสามารถวัดค่าแรงดันได้อย่างเที่ยงตรงและว่องไว  สามารถตัดกระแสที่ใช้ประจุออกก่อนที่จะเกิดความเสียหายขึ้น  ปัญหาในการใช้การประจุแบบนี้ก็คือ  ถ้ากระแสที่ใช้ในการประจุค่าสูงๆ  นี้ไม่ได้ถูกตัดออกอย่างทันที  เมื่อเซลได้รับการประจุจนเต็มที่แล้ว  ก๊าซออกซิเจนที่เกิดขึ้นมากเกินจากขั้วลบในปริมาณที่เพียงพอ  ความดันจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  และเซลจะระบายก๊าซออกซิเจนออกไปโดยที่  รูระบายที่ปิดไว้จะเปิดออกและปล่อยก๊าซออกซิเจนกับอิเลคทรอไลท์บางส่วนออกมา  เนื่องจากเมื่ออิเลคทรอไลท์สูญเสียออกมาจากเซลแล้ว  ก็ไม่สามารถเติมกลับเข้าไปใหม่ได้  ดังนั้น  ความจุของเซลจะลดลงอย่างถาวรก็คือ  เซลนั้นจะมีความจุน้อยลงตลอดไป
3.การประจุอย่างเร่งด่วน  (Super – Fast  Recharging)    
  
       มีบางกรณีที่ผู้ใช้ต้องการที่จะประจุเซลภายในเวลาเพียง  2 – 3  นาที  ยกตัวอย่างเช่น  เครื่องบินเล็กที่ใช้แบตเตอรี่เป็นตัวจ่ายกำลังจะต้องการการประจุเซลที่หมดประจุ  เพื่อที่จะนำเครื่องบินนี้  บินขึ้นสู่อากาศอีกครั้ง  โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 
 มันเป็นไปได้ที่จะประจุเซลอย่างเร่งด่วน  ด้วยอัตราการประจุถึง  4C  (4  เท่าของความจุ)  หรือมากกว่านี้  โดยวิธีการต่อไปนี้  คือวัดแรงดันของเซลและตัดกระแสที่ใช้ประจุออก  เมื่อแรงดันของเซลขึ้นสูงถึงค่าที่ตั้งไว้  อย่างไรก็ตามมีวิธีการที่ง่ายกว่า  แล้วก็เที่ยงตรงด้วย  โดยจากหลักความจริงที่ว่าเซลได้หมดประจุอย่างสมบูรณ์ก่อนที่จะพยายามทำการประจุมันใหม่  ให้ประจุไฟเข้าโดยกำหนดค่ากระแสประจุคงที่ไว้ใช้เวลาในการประจุตามที่ต้องการ  เช่นหลังจากเซลหมดประจุแล้ว  กระแสที่ใช้ในการประจุขนาด  3C  (3  เท่าของความจุ)  จะถูกป้อนเป็นเวลา  20  นาที  หรือจะใช้กระแสในการประจุเป็น  5C  (5  เท่าของความจุ)  ป้อนเข้าไปเป็นเวลา  12  นาที  เป็นต้น  แม้ว่าวิธีการนี้จะเป็นวิธีการที่ดี  เช่น  สำหรับนักเล่นเครื่องบินจำลองที่มีเพียงแหล่งจ่ายไฟเป็นเพียงแบตเตอรี่รถยนต์ก็ตาม  ก็เป็นสิ่งที่ควรระวังไว้  เนื่องจากการประจุมากเกินไปเพียง  2 – 3  วินาที  อาจจะทำให้เกิดการรั่วของเซลได้  กล่าวย่อๆ  ก็คือ  เมื่อจะใช้วิธีการนี้เซลจะต้องหมดประจุอย่างเต็มที่  และใช้กระแสในการประจุค่าที่แน่นอนเป็นระยะเวลาที่ถูกต้อง


